
รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว เขียนโดย มาซารุ อิบุกิ
เป็นหนังสือที่คุณพ่อคุณแม่ ไม่ว่าจะมือเก๋าหรือมือใหม่แคใหนต้องอ่าน ย้ำว่าต้องอ่านให้ได้ โดยเฉพาะเราคนไทยที่มีความเข้าใจกันผิดๆในเรื่องของการเลี้ยงลูกอยู่มาก
คนไทยเราส่วนใหญ่จะเข้าใจกันไปเองว่า ตอนลูกน้อยยังตัวเล็กๆอยู่อายุไม่ถึง 3 ขวบคงจะไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้หรอก แค่เลี้ยงดู พาเล่น ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนนม ชื่นชมกันไปวันๆ แค่นี้ก็พอแล้ว หลังจากนั้นก็ส่งไปโรงเรียนอนุบาล ซึ่งหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนความรู้ต่างๆก็จะกลายเป็นของครูไป และพ่อแม่ก็จะทำหน้าที่ในการอบรมบ่มนิสัยควบคู่ไปด้วย
ซึงความคิดนี้ เป็นความเห็นที่มหันต์ อ้างอิงจากหนังสือเรื่อง..รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว ที่เขียนโดย มาซารุ อิบุกิ แปลเรียบเรียง โดย ธีระ สุมิตร/พรอนงค์ นิยมค้า.
เพราะเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิด ถึง 3 ขวบคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่จะเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ แทบจะเรียกได้ว่าในช่วง 3 ปีนี้คือช่วงเวลาแห่งการตัดสินชี้อนาคตของเด็กคนนั้นๆได้เลยทีเดียว..
ช่วงวัยแรกเกิดถึง 3 ปี เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เด็กจะดีไม่ดี เก่งไม่เก่งก็อยู่ตรงนี้แหล่ะ เพราะเซลล์สมองทุกส่วนจะพัฒนาได้มากที่สุด หลังจากนี้ไปแล้วเซลล์สมองก็จะพัฒนาต่อแต่ก็ไม่เพิ่มมากเท่าช่วง 3 ปีแรก เซลล์สมองที่ดีต้องเป็นอย่างไรล่ะ? เซลล์สมองที่ดีควรจะแตกแขนงเป็นเส้นใยเยอะ ๆ เซลล์สมองของเราควรจะแตกแขนงออกไปเหมือนกับปลาดาว เป็นเส้นใยเพื่อเชื่อมต่อกับเซลล์สมองอื่น ๆ ให้เป็นร่างแหทั่วสมอง ยิ่งเส้นใยเยอะก็จะทำให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เยอะ
พูดง่าย ๆ ก็คือทำให้เด็กฉลาดหรือเก่งนั่นเอง ทำยังไงให้เซลล์สมองแตกแขนงเป็นเส้นใยในสมองให้เยอะ ๆ?
ถ้าเราเปรียบเทียบเซลล์สมองของเด็กที่ได้รับความรัก ความอบอุ่น กับเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่นในช่วงวัยเด็ก ปรากฏว่าเด็กที่ได้รับความรัก ความอบอุ่น ความเอาใจใส่ เซลล์สมองจะแตกแขนงเป็นร่างแหเต็มสมองไปหมด ตรงกันข้ามกับเด็กที่ไม่ได้รับความรัก ความเอาใจใส่ เส้นใยเชื่อมต่อระหว่างเซลล์จะน้อย จึงได้ข้อสรุปว่าพ่อแม่ควรจะมอบความรัก ความอบอุ่นให้กับลูกน้อยให้มาก ๆ ให้เขายิ้ม หัวเราะ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น มีความสุขมากที่สุด
ผลวิจัยที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งคือ ระหว่างช่วงแรกเกิดถึง 3 ปีนี้ เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่าช่วงอื่น เช่น การเรียนรู้ภาษาที่ 2 หรือ ภาษาที่ 3 นอกเหนือไปจากภาษาแม่ ถึงเด็กจะยังพูดไม่ได้ แต่เขาก็จะซึบซับภาษาเหล่านั้นจากการได้ยิน ได้ฟัง เมื่อเขาโตพอที่จะพูดได้ เขาก็จะสามารถออกเสียงภาษาเหล่านั้นออกมาได้เหมือนเจ้าของภาษา หรือออกเสียงได้ใกล้เคียงมาก
*** ต้องอ่านให้ได้นะคะ ***
การอบรมมารยาท หรือสอนสั่งเรื่องต่าง ๆ ก็เหมือนกัน ควรจะเริ่มสอนกันก่อนตั้งแต่ 3 ขวบ พ่อแม่หลายคนมักจะคิดว่ารอให้ลูกเข้าโรงเรียนก่อนก็ได้ ให้ครูที่โรงเรียนสอนให้ คิดว่าลูกยังเด็ก ฟังไม่รู้เรื่อง จริง ๆ แล้วเด็กสามารถเรียนรู้ได้มากกว่าที่เราคิด ที่สำคัญพอหลัง 3 ขวบแล้ว เด็กจะเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง เริ่มอยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร เริ่มเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ชอบ จะให้มาหันซ้ายหันขวาตามที่เราบอกน่ะยากซะแล้ว ฉะนั้นจะสอนอะไรก็ให้รีบสอนซะตั้งแต่เขายังเด็ก เพื่อปลูกฝังให้เป็นนิสัยที่ดีต่อไป
สิ่งที่เน้นอีกอย่างคือ การสอนดนตรีให้กับเด็กเล็ก ๆ เพราะดนตรีจะทำให้เซลล์สมองแตกแขนงออกไปได้มาก ในหนังสือกล่าวถึงการเล่นไวโอลินเมื่อลองให้เด็กที่ผิดปกติเรียนสีไวโอลิน ปรากฎว่าเด็กเหล่านั้นมีพัฒนาการด้านสมองดีขึ้น หรือกับเด็กที่ปกติ ก็มีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ในเกณฑ์ที่ดี ที่น่าสนใจคือ เมื่อลองให้เด็กทารกฟังดนตรีหลาย ๆ ประเภท ปรากฎว่า ดนตรีที่เด็กทารกชอบมากที่สุดคือ ดนตรีคลาสสิค แถมยังจำเพลงเหล่านั้นได้ด้วย...
แหล่งอ้างอิง : กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว เขียนโดย มาซารุ อิบุกิ
: www.bloggang.com/viewblog.php?id=sunnyshinyday&date=14-03-2007&group=2&gblog=1
Video วิธีการประกอบ เปลไกวไฟฟ้าอัตโนมัติ แบบเปลไกว ง่ายๆไม่กี่นาที
Video ทดสอบใช้งาน เปลเด็กอ่อน แบบเปลอัตโนมัติ รุ่น Easy GO-B
Video Review และทดสอบใช้งาน เปลไกวไฟฟ้า รุ่น Easy GO-B
เปลนอนเด็ก แบบ เปลไกวไฟฟ้า รุ่น Easy GO-C
ทดสอบการทำงาน เปลไกวอัตโนมัติ แบบเก้าอี้โยก สีฟ้า
การทำงานของ เปลไกวไฟฟ้า แบบเปลไกว สีชมพู
เสียงดนตรีกล่อมเด็กเพราะๆ จาก เปลไกวอัตโนมัติ Primi