เป็นธรรมดาหากคนเป็นพ่อแม่คุมลูกๆ ไม่อยู่ จนต้องดุว่ากล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ทันคิดกันว่า คำพูดเหล่านั้นจะไปกระทบต่อจิตใจของเด็กมากน้อยแค่ไหน หรือจะส่งผลอย่างไรที่ทำให้เด็กมีปมในใจบ้าง ทางที่ดีพ่อแม่ควรควบคุมสติและอารมณ์ตัวเองอยู่เสมอ เพราะถ้าพลั้งปากหรือทำอะไรลงไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะทำให้เด็กคลายปมปัญหาในใจ จากการที่ถูกพ่อแม่ดุด่าว่ากล่าว ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
สำหรับเด็กใน วัย 3-6 ขวบ ถือว่าเป็นช่วงอายุที่พัฒนาการต่างๆ ทั้งร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และภาษากำลังฟอร์มตัวเองอย่างก้าวกระโดด ซึ่งพญ.สินดี จำเริญนุสิต ได้อธิบายถึงพฤติกรรมของเด็กในช่วงวัยนี้ เขาจะเริ่มเรียนรู้ก่อน ว่านี่คือโกรธ รัก หวง เขาจะมีความสับสน หรือตกใจกับอารมณ์พวกนี้เวลาเกิดเหตุการณ์ แต่เขาก็เรียนรู้อารมณ์คนอื่นด้วย เช่น เริ่มมีสังคม รู้จักการแบ่งปัน เริ่มฟอร์มลักษณะตัวตนตัวเองว่าพ่อแม่รู้สึกอย่างไรกับเขา ดังนั้นคำพูดทั้งหลายที่ดีและไม่ดีจึงสามารถกระทบต่อจิตใจ อารมณ์ สังคมได้ ว่าเด็กมองตัวตนตัวเองแย่ลงหรือไม่ การพัฒนาด้านอื่นๆ จึงมีผลกระทบตาม เมื่ออารมณ์ไม่พร้อม ร่างกาย และจินตนาการก็จะถูกบล็อกไปด้วย โดยเฉพาะลักษณะคำพูดดังต่อไป
1. ขู่ลูก เช่น ไม่รักแล้วนะ เดี๋ยวทิ้งซะเลย
2. ตำหนิที่ตัวตนของเด็ก เช่น ดื้อ โง่ น่ารำคาญ
3. ไม่แนะนำในสิ่งที่ควรทำ เช่น เมื่อเด็กทำอะไรไม่ได้ตามที่พ่อแม่สอน ก็บอกว่า ทำไมทำไม่ได้สักที
4. การห้ามเด็กไม่ให้ทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น อยู่นิ่งๆ อย่าซน
5. เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น หรือพี่น้อง
6. การหยอก เช่น เดี๋ยวผีมาหลอก เดี๋ยวโดนจับตัว
คำ ต้องห้ามเหล่านี้อาจไม่มีครอบครัวไหนทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังพอมีวิธีแก้ไขที่สามารถช่วยได้ ซึ่งพญ.สินดี อธิบายว่าควรเปลี่ยนเป็นการใช้คำพูดที่สื่อว่าเรารู้สึกอย่างไรมากกว่าการดุ ด่าแบบตรงๆ เช่นแม่รักลูกนะแต่ไม่ชอบที่ลูกทำแบบนี้ รวมถึงการให้เวลาส่วนใหญ่กับเขา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในบ้าน และมองจุดดีมากกว่าจุดด้อย ให้เขารู้สึกว่าการอยู่บ้านนั้นไม่ได้ทำให้เขาถูกตำหนิทุกครั้ง ให้เด็กมีอิสระที่ได้คิด และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าพ่อแม่ทำได้ แม้ว่าจะมีบ้างที่หลุดพูดอะไรออกไป เด็กก็จะกลับมาอยู่ในจุดที่สามารถเดินไปต่อได้ แต่ถ้าเกิดบ่อยเกินครึ่งชีวิตของพวกเขา โอกาสแก้ไขจะยากกว่า เพราะเด็กวัยนี้จะรู้ว่าว่าพ่อแม่คิดอย่างไรจากลักษณะการปฏิสัมพันธ์ที่ต่าง กันเวลาพ่อแม่คุยด้วย ต้องคิดว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องพยายามมองที่ตัวตนของเขา อธิบายเหตุผลให้ชัดเจนในทุกเรื่อง เพราะวัยนี้ยังสามารถทำความเข้าใจได้ แต่ถ้าปล่อยไปถึงอายุ 7 ขวบถึงประถมปลายมันจะยากขึ้นที่เขาจะปรับได้ ดังนั้นเวลาที่เขาทำดีต้องชื่นชมเขาให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เขาก็พอใจแล้ว ไม่ควรติดสินบนด้วยการเอาของมาล่อ เพราะเขาจะไม่ได้รู้สึกว่าอยากทำดีจะกลายเป็นว่าอยากทำเพราะจะได้ของแลก เปลี่ยน
ในส่วนเรื่องพัฒนาการด้านสติปัญญา แน่นอนว่าหากมีเหตุการณ์อะไรที่มากระทบต่อความรู้สึก ย่อมส่งผลต่อระบบสมองและพัฒนาการด้านสิตปัญญา เพราะสมองส่วนอารมณ์ความรู้สึกพอถูกใช้งานมาก สมองส่วนการเรียนรู้ก็จะกระทบ เพราะจิตใจเราไม่พร้อมมีความหวาดกลัว ไม่มีค่า ไม่มีคนรัก เขาก็ไม่พร้อมจะเรียนรู้
การแก้ปัญหาเรื่องลูกน้อยดื้อ หรือซนมากนั้น จึงต้องทำตั้งแต่เขายังเล็กๆ ด้วยการฝึกวินัย พ่อแม่ และคนในบ้านต้องขัดเกลาเป็นตัวอย่างที่ดี ถ้ารู้ว่าตัวเองโกรธวีน ทางที่ดีต้องเลี่ยงไม่ให้เขาเห็น การตี การดุด้วยอารมณ์ไม่ควรใช้สอนลูก เพราะเขาจะรู้สึกว่าเวลาโกรธเขาก็จะตีคนอื่นเหมือนกัน ควรให้เขาเห็นวิธีการแก้ปัญหาโดยการใช้เหตุผลจะดีกว่า
Cr: www.thairath.co.th/content/361619
Video ทดสอบใช้งาน เปลเด็กอ่อน แบบเปลอัตโนมัติ รุ่น Easy GO-B
Video Review และทดสอบใช้งาน เปลไกวไฟฟ้า รุ่น Easy GO-B
เปลนอนเด็ก แบบ เปลไกวไฟฟ้า รุ่น Easy GO-C
ทดสอบการทำงาน เปลไกวอัตโนมัติ แบบเก้าอี้โยก สีฟ้า
การทำงานของ เปลไกวไฟฟ้า แบบเปลไกว สีชมพู
เสียงดนตรีกล่อมเด็กเพราะๆ จาก เปลไกวอัตโนมัติ Primi